วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ข้อสอบ10&เฉลย

แบบทดสอบ 10 ข้อ
 

1.ข้อใดกล่าวถึง Google drive ได้ถูกต้อง 




2.Google drive มีพื้นที่จัดเก็บให้กี่ GB 
3.บริการอื่นๆของ GOOGLE ที่ใช้ร่วมกับ GOOGLE DRIVE อะไรบ้าง 
4.ก่อนจะ log in เข้าใช้งานต้องสมัคร E-mail Web site ใด 
5.หากต้องการพื้นที่จัดเก็บของ GOOGLE DRIVE ขนาด 100 GB จะซื้อได้ในราคากี่เหรียญสหรัฐฯ 




  • ง. 7.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน
6.หากต้องการพื้นที่จัดเก็บของ GOOGLE DRIVE ขนาด 200 GB จะซื้อได้ในราคากี่เหรียญสหรัฐฯ 
7.หากต้องการพื้นที่จัดเก็บของ GOOGLE DRIVE ขนาด 400 GB จะซื้อได้ในราคากี่เหรียญสหรัฐฯ 
 
8.หากต้องการพื้นที่จัดเก็บของ GOOGLE DRIVE ขนาด 1 TB จะซื้อได้ในราคากี่เหรียญสหรัฐฯ 





 
9.หากต้องการพื้นที่จัดเก็บของ GOOGLE DRIVE ขนาด 2 TB จะซื้อได้ในราคากี่เหรียญสหรัฐฯ *
10.สามารถตรวจสอบพื้นที่การใช้งานของ Google Account ได้ที่ใด


  • เฉลยข้อ 1  ข. เป็นไดรฟ์เก็บข้อมูลออนไลน์บนอินเตอร์เนต แบบฟรีๆ
  • เฉลยข้อ 2 ค.15 GB
  • เฉลยข้อ 3 ง.GOOGLE DOCS,GOOGLE SHEETS,GOOGLE SLIDEเเละGOOGLE FORMS
  • เฉลยข้อ 4  ง.www.gmail.com
  • เฉลยข้อ 5 ก. 4.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน
เฉลยข้อ6 ง. 9.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน

เฉลยข้อ7 ง. 19.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน

เฉลยข้อ8 ข. 49.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน

เฉลยข้อ9 ค. 99.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือ

เฉลยข้อ10  ก. Google Storage

Google Drive

Google Drive
Google Driveคืออะไร
เป็นบริการจาก Google ที่ทำให้เราสามารถนำไฟล์ต่าง ๆ ไปฝากไว้กับ Google โดยวิธีการที่เรียกว่า Upload ซึ่งทำให้เราสามารถใช้ไฟล์เหล่านั้นที่ไหนก็ได้ที่มีอินเตอร์เน็ต ไม่เพียงแค่ฝากไฟล์ได้เท่านั้นคุณยังสามารถ สามารถแบ่งปันไฟล์กับคนที่ต้องการ และสามารถแก้ไขร่วมกันได้จากอุปกรณ์ทุกประเภท สำหรับพื้นที่ ๆ Google ให้เราใช้บริการฟรีนั้นอยู่ที่ 15 GB และหากต้องการพื้นที่มากขึ้นสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ https://support.google.com/drive/answer/2375123?hl=th สนใจอ่านวิธีใช้แบบฟรี ๆ ได้เลยครับขั้นตอนการใช้ Google Driveการใช้งาน Google Drive นั้นเริ่มต้นง่าย ๆ เพียงแค่คุณสมัคร Gmail หากคุณยังไม่เคยสมัคร แนะนำให้สมัคร เนื่องจากสมัคร Gmail เพียง Account เดียว ทำให้สามารถใช้บริการต่าง ๆ ของ Google ได้อย่างมากมาย รวมถึง Google Drive ด้วย หากท่านใดยังไม่เคยสมัคร เพื่อสมัคร Gmail และเมื่อสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้วเปิดโปรแกรม Web browser ขึ้นมา (Google Chrome, Firefox, IE, Opera) ในช่อง Address พิมพ์ mail.google.com (ไม่จำเป็นต้องใส่ http หรือ www แต่อย่างใด) แล้วกดปุ่ม Enter หรือ คลิกที่นี่ เพื่อเข้าสู่ Gmail จากนั้นให้สังเกตที่มุมบนขวามือซึ่งจะมีปุ่มที่ชื่อ สร้างบัญชี ให้คลิกที่ปุ่มดังกล่าว 1 ครั้ง


ปรากฏแบบฟอร์มสำหรับการสมัครขึ้นมา ให้กรอกรายละเอียดต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย
ชื่อ : ในช่องแรกให้พิมพ์ชื่อ ส่วนช่องหลังให้พิมพ์นามสกุล จะใช้ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้
ชื่อผู้ใช้ : เป็นชื่อ Email ที่คุณต้องการ หากชื่อที่ต้องการมีผู้ใช้แล้วคุณอาจใส่เครื่องหมาย . (จุด) คั่นแล้วตามด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ หรือตัวเลขก็ได้
สร้างรหัสผ่าน : รหัสผ่านต้องไม่น้อยกว่า 8 ตัว โดยเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษผสมกับตัวเลข
ยืนยันรหัสผ่าน : พิมพ์รหัสผ่านอีกครั้งให้เหมือนกับรหัสผ่านในช่อง สร้างรหัสผ่าน
วัน เดือน ปี เกิด : พิมพ์วันเกิดของคุณ คลิกเลือกเดือนเกิดของคุณ พิมพ์ปีเกิดเป็นคริศักราช
เพศ : คลิกเลือกเพศ ชาย หรือ หญิง
โทรศัพท์มือถือ : พิมพ์เบอร์โทรศัพท์มือถือที่คุณใช้อยู่ ในส่วนนี้จำเป็นต้องพิมพ์ครับ เพราะใช้ในการยืนยันว่าคุณคือผู้สมัครเอง สำหรับวิธีการใส่นั้น +66 จะแทนเลข 0 คุณไม่ต้องใส่เลข 0 ให้พิมพ์ตัวเลขที่เหลือ 9 ตัวต่อท้าย +66
ที่อยู่อีเมลปัจจุบันของคุณ : หากไม่มีก็ไม่ต้องใส่ แต่หากคุณมีอีเมลอื่นที่ใช้งานอยู่แนะนำให้ใส่ เพราะเมื่อคุณลืมรหัสผ่านสามารถกู้คืนผ่านทางอีเมลนี้ได้ครับ

พิมพ์ว่าคุณไม่ได้เป็นหุ่นยนต์ : ก่อนหน้านี้ต้องพิมพ์ตัวอักษรที่คุณเห็นลงในช่องสี่เหลื่ยม ปัจจุบันนี้ถ้าไม่ต้องการพิมพ์ก็เพียงแค่คลิกในช่อง (ข้ามการยืนยันนี้) ซึ่งช่วยให้การสมัคร Gmail ง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก

รูปภาพจะถูกซ่อน และสุดท้ายให้คุณคลิก (ฉันยอมรับ ข้อกำหนดในการให้บริการ ฯ)

คลิกเลือก โทรศัพท์ และคลิกปุ่ม ทำต่อ จากนั้นรอโทรศัพท์จาก Google


เมื่อ Google โทรมาเขาจะบอกตัวเลข 6 หลักให้คุณ 2 ครั้ง พิมพ์ตัวเลขที่คุณได้ยิน และคลิกปุ่ม ทำต่อ

เข้าสู่หน้าปรับแต่งโปรไฟล์หากคุณยังไม่พร้อม คลิกปุ่ม ขั้นตอนต่อไป

เข้าสู่หน้าต้อนรับซึ่งแสดงว่าคุณสมัคร Gmail เสร็จเรียบร้อยแล้ว คลิกปุ่มเข้าสู่ Gmail เข้าเริ่มต้นใช้งาน Email ของคุณ






มาดูขั้นตอนการใช้งาน Google Drive

ปรากฏหน้าเข้าสู่ระบบขึ้นมา ให้ใส่ชื่อ Email และ Password ของเราลงไป เสร็จแล้วคลิกปุ่ม ลงชื่อเข้าใช้




จะเข้าสู่หน้าเว็บเพจของ Google Drive ซึ่งเพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานได้แล้ว แต่ผมอยากให้คุณ ๆ ได้ลองใช้งานโดยการติดตั้ง Google Drive ลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งผมได้ทดลองแล้วรู้สึกชอบเลยนำมาแนะนำให้ได้ลองใช้งานกันดู สำหรับวิธีการนั้นง่ายมาก ๆ โดยเมื่อเข้าสู่หน้าเว็บเพจของ Google Drive เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้คลิกที่เมนู ไดรฟ์ของฉัน สังเกตว่าจะมีปุ่มสีฟ้า ๆ ชื่อ ติดตั้ง Google ไดรฟ์สำหรับพีซี อยู่ คลิกที่ปุ่มดังกล่าว 1 ครั้ง




แสดงหน้าต่าง Download Google Drive for Windows ขึ้นมา คลิกปุ่ม Accept and Install


เข้าสู่กระบวนการติดตั้ง Google Drive




เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วจะปรากฏหน้าต่างตามภาพด้านล่าง


ปัจจุบันมีการใช้ Smartphone กันอย่างกว้างขวาง หากคุณสมัครใช้บริการของ Google Drive เสร็จเรียร้อยแล้ว คุณสามารถติดตั้ง App เพื่อใช้งาน Google Drive ได้ทันที ติดตั้ง


การสร้างเอกสารบน Google Drive
ความสามารถอันยอดเยี่ยมของGoogle Driveอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการรับฝากไฟล์ก็คือการสร้างเอกสารบน Google Drive ได้ทันทีโดยที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณไม่จำเป็นต้องมีโปรแกรมเกี่ยวกับการสร้างเอกสารเลยก็ได้ และไม่เพียงแค่การสร้างเอกสารเท่านั้น คุณยังสามารถแบ่งปันเอกสารดังกล่าวได้ง่าย นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ไฟล์ร่วมกับคนอื่นได้ด้วย เพื่อไม่เป็นการเสียเวลามาดูวิธีการใช้งานกันเลยดีกว่าครับ
สำหรับวิธีการเข้าสู่เว็บไซต์ของ Google Drive สามารถพิมพ์ drive.google.com ในช่อง Address โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์ www เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเข้าสู่หน้าเว็บเพจของ Google Drive ได้แล้ว
 
หลังจากเข้าสู่หน้าเว็บเพจเรียบร้อยแล้ว คลิกปุ่ม ลงชื่อเข้าใช้งาน
 จะเข้าสู่หน้า Login ของ Google Drive พิมพ์ชื่อ Email และรหัสผ่านของคุณ คลิกปุ่มลงชื่อเข้าใช้งาน
 

คลิกปุ่ม สร้าง เพื่อเริ่มสร้างเอกสาร

สามารถเลือกประเภทของเอกสารได้ตามภาพด้านล่าง

 
จากตัวอย่างผมเลือก เอกสาร  คุณจะเห็นว่ามีหน้าเว็บเพจที่ลักษณะคล้ายโปรแกรมแก้ไขเอกสารแสดงขึ้นมา และพร้อมใช้งานเรียบร้อยแล้ว






แชร์ไฟล์หรือโฟลเดอร์แบบสาธารณะ

  1. บนคอมพิวเตอร์ ให้ลงชื่อเข้าใช้ Google ไดรฟ์
  2. คลิกไฟล์หรือโฟลเดอร์
    • Google ไดรฟ์: คลิกแชร์ Share ที่ด้านบนขวา 
    • Google เอกสาร, ชีต และสไลด์: คลิกแชร์ที่ด้านบนขวา
  3. คลิกแชร์ Share ที่ด้านบนขวา
  4. ที่ด้านบนขวาของช่อง "แชร์กับคนอื่น" ให้คลิกรับลิงก์ที่สามารถแชร์ได้
  5. ข้าง "ทุกคนที่มีลิงก์" ให้คลิกลูกศรลง
  6. คลิกเพิ่มเติม...
  7. เลือก "เปิด - สาธารณะทางเว็บ" ทุกคนจะเปิดไฟล์ในอินเทอร์เน็ตได้โดยการค้นหาหรือใช้ลิงก์นี้
  8. คลิกบันทึก
  9. เลือกระดับการเข้าถึงที่ผู้ที่มีลิงก์ได้รับ ได้แก่ ดู แสดงความคิดเห็น หรือแก้ไข
  10. คลิกเสร็จสิ้น


Cloud Computing

Cloud Computing
Cloud Computing คืออะไร
หากพูดถึงว่าคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) คืออะไร? หลายคนอาจจะนึกถึงแค่บริการพื้นที่ฝากไฟล์บนอินเทอร์เน็ต อย่าง iCloud บน iPhone, iPad หรือ Google Drive บน Android หรือ OneDrive บนมือถือ Windows Phone ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือบริการ Cloud Storage อันเป็นบริการ Cloud ประเภทหนึ่งเท่านั้น แต่อันที่จริงแล้ว บริการ Cloud Computing มีความหมายกว้างขวางกว่านั้นมาก
Cloud Computing คือบริการที่ครอบคลุมถึงการให้ใช้กำลังประมวลผล หน่วยจัดเก็บข้อมูล และระบบออนไลน์ต่างๆจากผู้ให้บริการ เพื่อลดความยุ่งยากในการติดตั้ง ดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลา และลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเอง ซึ่งก็มีทั้งแบบบริการฟรีและแบบเก็บเงิน
รู้จักคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) แบบเข้าใจง่าย
หากแปลความหมายของคำว่า Cloud Computing ดูจะเข้าใจยาก หรือถ้าแปลเป็นไทย “การประมวลผลบนกลุ่มเมฆ” ก็ยิ่งดูจะงงเข้าไปใหญ่ แต่น่าจะง่ายกว่าถ้าบอกว่า Cloud Computing คือการที่เราใช้ซอฟต์แวร์, ระบบ, และทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเลือกกำลังการประมวลผล เลือกจำนวนทรัพยากร ได้ตามความต้องการในการใช้งาน และให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลบน Cloud จากที่ไหนก็ได้ ดังแผนภาพด้านล่างนี้นั่นเอง



จากภาพด้านบนนี้ จะเห็นว่าด้านในของกรอบที่เป็นก้อนเมฆก็คือทรัพยากรของผู้ให้บริการที่มีทั้ง Hardware และ Software (ซึ่งก็ทำงานบน Hardware ของผู้ให้บริการเช่นกัน) ผู้ใช้บริการเพียงแค่ต่อเชื่อมเข้าไปใช้ผ่าน Network ด้วยเว็บบราวเซอร์ หรือ Client แอพพลิเคชั่น บนอุปกรณ์ต่างๆของตน เช่น มือถือ, Tablet, Notebook, หรือ Chromebook เป็นต้น
ทำไมบริการ คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) จึงได้รับความนิยม?

Cloud Computing คือบริการที่เราใช้หรือเช่าใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือทรัพยากรด้านคอมพิวเตอร์ ของผู้ให้บริการ เพื่อนำมาใช้ในการทำงาน โดยที่เราไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อ Hardware และ Software เองทั้งระบบ ไม่ต้องวางระบบเครือข่ายเอง ลดความรับผิดชอบในการดูแลระบบลง (เพราะผู้ให้บริการจะเป็นผู้ดูแลให้เอง) แถมตอนอัพเกรดระบบยังทำได้ง่ายกว่า ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบ ข้อมูลต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต สามารถจัดการ บริหารทรัพยากรของระบบ ผ่านเครือข่าย และมีการแบ่งใช้ทรัพยากรร่วมกัน (shared services) ได้ด้วย และการจ่ายเงินเพื่อเช่าระบบ ก็สามารถจ่ายตามความต้องการของเรา ใช้เท่าไหร่ จ่ายเท่านั้นได้ หากวันใดความต้องการมีมากขึ้นก็สามารถซื้อเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มศักยภาพของระบบ Cloud Computing ได้ โดยที่ไม่ต้องอัพเกรดระบบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ให้วุ่นวาย ดังนั้น ธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลาง รวมไปถึงสถาบันการศึกษา จึงหันมาใช้บริการ Cloud Computing ที่ทั้งช่วยลดต้นทุนและลดความยุ่งยากทั้งหลายกันมาก คล้ายกับเป็นการ Outsource งานนี้ออกไปเพื่อจะได้ Focus กับงานหลักของตนเองจริงๆ
ประเภทของบริการ คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Service Models)

บริการ Cloud Computing มีหลากหลายรูปแบบ แต่ในที่นี้ เราขอพูดถึงรูปแบบหลักๆ 3 แบบได้แก่
Software as a Service (SaaS)

เป็นการที่ใช้หรือเช่าใช้บริการซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชั่น ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยประมวลผลบนระบบของผู้ให้บริการ ทำให้ไม่ต้องลงทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์เอง ไม่ต้องพะวงเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบ เพราะซอฟต์แวร์จะถูกเรียกใช้งานผ่าน Cloud จากที่ไหนก็ได้

ซึ่งบริการ Software as a Service ที่ใกล้ตัวเรามากทื่สุดก็คือ GMail นั่นเอง นอกจากนั้นก็เช่น Google Docs หรือ Google Apps ที่เป็นรูปแบบของการใช้งานซอฟต์แวร์ผ่านเว็บบราวเซอร์ สามารถใช้งานเอกสาร คำนวณ และสร้าง Presentation โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์บนเครื่องเลย แถมใช้งานบนเครื่องไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ แชร์งานร่วมกันกับผู้อื่นก็สะดวก ซึ่งการประมวลผลจะทำบน Server ของ Google ทำให้เราไม่ต้องการเครื่องที่มีกำลังประมวลผลสูงหรือพื้นที่เก็บข้อมูลมากๆในการทำงาน Chromebook ราคาประหยัดซักเครื่องก็ทำงานได้แล้ว มหาวิทยาลัยทั้งในไทยและต่างประเทศหลายแห่งในปัจจุบัน ก็ยกเลิกการตั้ง Mail Server สำหรับใช้งาน e-mail ของบุคลากร และนักศึกษาในมหาวิทยลัยกันเองแล้ว แต่หันมาใช้บริการอย่าง Google Apps แทน เป็นการลดต้นทุน, ภาระในการดูแล, และความยุ่งยากไปได้มาก
Platform as a Service (PaaS)

สำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชั่นนั้น หากเราต้องการพัฒนาเวบแอพพลิเคชั่นที่ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งรันบนเซิร์ฟเวอร์ หรือ Mobile application ที่มีการประมวลผลทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ เราก็ต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์ เชื่อมต่อระบบเครือข่าย และสร้างสภาพแวดล้อม เพื่อทดสอบและรันซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่น เช่น ติดตั้งระบบฐานข้อมูล, Web server, Runtime, Software Library, Frameworks ต่างๆ เป็นต้น จากนั้นก็อาจยังต้องเขียนโค้ดอีกจำนวนมาก

แต่ถ้าเราใช้บริการ PaaS ผู้ให้บริการจะเตรียมพื้นฐานต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้เราต่อยอดได้เลย พื้นฐานทั้ง Hardware, Software, และชุดคำสั่ง ที่ผู้ให้บริการเตรียมไว้ให้เราต่อยอดนี้เรียกว่า Platform ซึ่งก็จะทำให้ลดต้นทุนและเวลาที่ใช้ในการพัฒนาซอฟท์แวร์อย่างมาก ตัวอย่าง เช่น Google App Engine, Microsoft Azure ที่หลายๆบริษัทนำมาใช้เพื่อลดต้นทุนและเป็นตัวช่วยในการทำงาน

Application ดังๆหลายตัวเช่น Snapchat ก็เลือกเช่าใช้บริการ PaaS อย่าง Google App Engine ทำให้สามารถพัฒนาแอพที่ให้บริการคนจำนวนมหาศาลได้ โดยใช้เวลาพัฒนาไม่นานด้วยทีมงานแค่ไม่กี่คน
Infrastructure as a Service (IaaS)

เป็นบริการให้ใช้โครงสร้างพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์อย่าง หน่วยประมวลผล ระบบจัดเก็บข้อมูล ระบบเครือข่าย ในรูปแบบระบบเสมือน (Virtualization) ข้อดีคือองค์กรไม่ต้องลงทุนสิ่งเหล่านี้เอง, ยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบไอทีขององค์กรในทุกรูปแบบ, สามารถขยายได้ง่าย ขยายได้ทีละนิดตามความเติบโตขององค์กรก็ได้ และที่สำคัญ ลดความยุ่งยากในการดูแล เพราะหน้าที่ในการดูแล จะอยู่ที่ผู้ให้บริการ

ตัวอย่างเช่น บริการ Cloud storage อย่าง DropBox ซึ่งให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลนั่นเอง แต่นอกจากนี้ก็ยังมีบริการให้เช่ากำลังประมวลผล, บริการให้เช่า เซิร์ฟเวอร์เสมือน เพื่อใช้ลงและรันแอพพลิเคชั่นใดๆตามที่เราต้องการไม่ว่าจะเป็น Web Application หรือ Software เฉพาะด้านขององค์กร เป็นต้น

ตัวอย่างบริการอื่นๆในกลุ่มนี้ก็เช่น Google Compute Engine, Amazon Web Services, Microsoft Azure


Cloud Service Models
ความสำเร็จขององค์กรที่ใช้งาน Cloud Computing

Thai Smile บริษัทสายการบินน้องใหม่ที่นำเอาคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เข้ามาช่วยในการลดต้นทุน และช่วยย่นระยะเวลาในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ โดยทางไทยสไมล์ มองว่า บริษัทน้องใหม่ แยกตัวออกมาจากการบินไทย กว่าจะตั้งตัวได้ กว่าจะมีระบบที่สมบูรณ์ ก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่ความได้เปรียบในเชิงธุรกิจ ต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว ดังนั้น คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) จึงเป็นทางเลือกในการช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยากและเสียเวลากับการลงทุนอุปกรณ์เอง และสำหรับไทยสไมล์แล้ว Cloud Computing คือคำตอบที่ทำให้สามารถขยับตัวเพื่อแข่งขันในตลาดได้อย่างทันท่วงที

จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า องค์กร บริษัท ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ล้วนแต่หาช่องทางในการลดต้นทุน ลดเวลา ลดความยุ่งยากในบริหารจัดการด้านไอที ซึ่งสำคัญมาก และเกี่ยวข้องกับความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ เพราะการซื้ออุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การอัพเดตซอฟต์แวร์ และการอัพเกรดระบบ ต่างมาพร้อมกับต้นทุนและต้องการการบำรุงรักษาในระยะยาว ในขณะที่องค์กรเอง ก็ต้องการความยืดหยุ่น และไม่ยุ่งยากในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์, ระบบเครือข่าย รองรับการขยายตัวของธุรกิจ และปรับตัวเข้ากับอนาคตได้เร็วกว่าคู่แข่ง

ในยุคที่มีอินเทอร์แพร่หลายและมีเครือข่าย 3G / 4G / Wi-Fi ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ การวางใจให้ Cloud ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผล จัดเก็บข้อมูล ก็ทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ผ่าน Cloud ก็ไม่ต้องจำเป็นต้องลงทุนสูง

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ระบบคอมพิวเตอร์

ระบบคอมพิวเตอร์(Computer  Syste)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ระบบคอมพิวเตอร์
            ในการใช้คอมพิวเตอร์ทำงานแล้วให้ได้ผลลัพธ์ออกมาตามความต้อง
การของผู้ใช้งานนั้น  ย่อมต้องมีองค์ประกอบที่เรียกว่า ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามา
เกี่ยวข้องเสมอ ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายประ
เภททำงานร่วมกัน โดยมีคำสั่งหรือที่เรียกว่าโปร
กรมเป็นตัวสั่งการให้อุปกรณ์เหล่านั้นทำงานได้ตามที่มนุษย์ต้องการ ดังนั้นเมื่อ
กล่าวถึงระบบคอมพิวเตอร์สิ่งสำคัญของระบบจึงได้แก่ ฮาร์ดแวร์(hardware) 
ซอฟต์แวร์(software) และบุคลากร(Peopleware) นั่นคือ เครื่องคอมพิวเตอร์
จะทำงานได้ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ

 ฮาร์ดแวร์(Hardware)
 ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง ส่วนประกอบโครงสร้างรวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วง
ที่สนับสนุนการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้มนุษย์สามารถ
มองเห็นและสัมผัสได้หน้าที่ของฮาร์ดแวร์ก็คือทำงานตามคำสั่งควบคุมการทำงาน
ต่างๆที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ  แบ่งออกเป็นส่วน
ประกอบดังนี้
          1. หน่วยรับข้อมูล(Input unit)เป็นอุปกรณ์รับเข้าทำหน้าที่รับโปรแกรม
และข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์รับเข้าที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่คือแป้นพิมพ์
(Keyboard)และเมาส์(Mouse)นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์รับเข้าอื่นๆอีกได้แก่
สแกนเนอร์(Scanner),วีดีโอคาเมรา(VideoCamera),ไมโครโฟน(Microphone)
,ทัชสกรีน(Touchscreen),แทร็คบอล(Trackball),ดิจิตเซอร์เทเบิ้ลแอนด์ครอสแชร์(Digitertabletandcrosshair)
          2. หน่วยประมวลผลกลาง(CentralProcessingUnit)หรือเรียกโดยทั่วๆ
ไปว่าCPUซึ่งถือว่าเป็นสมองของระบบคอมพิวเตอร์ มีส่วนประกอบที่สำคัญ2ส่วนคือ
หน่วยควบคุมหน่วยคำนวณ
               - หน่วยควบคุม(ControlUnitหรือCU)ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการ
ทำงานของหน่วยรับข้อมูล หน่วยแสดงผล หน่วยคำนวณและหน่วยตรรก 
หน่วยความจำและแปลคำสั่ง
               - หน่วยคำนวณและตรรก(Arithmetic and Logic Unit หรือ ALU)
ทำหน้าที่ในการคำนวณหาตัวเลข เช่น การบวก ลบ การเปรียบเทียบ
               - หน่วยความจำ เป็นอุปกรณ์ใช้เก็บโปรแกรมและข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล
          3. หน่วยความจำภายใน(PrimaryStorageSectionหรือMemory)เป็นหน่วยความ
จำที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถติดต่อกับหน่วยงานอื่นๆได้โดยตรงมี2 ประเภท
               3.1 หน่วยความจำภายใน
                     - หน่วยความจำแบบแรม(RandomAccessMemory หรือ Ram)
เป็นหน่วยความจำชั่วคราวที่ใช้สำหรับเก็บโปรแกรมที่กำลังใช้งานอยู่ขณะนั้นมีความ
จุของหน่วยเก็บข้อมูลไม่เกิน640 KB คือผู้ใช้สามารถเขียนหรือลบไปได้ตลอดเวลา
ถ้าหากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไฟฟ้าดับจะมีผลทำให้ข้อมูลต่างๆที่เก็บไว้สูญหาย
ไปหมดและไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้
                     - หน่วยความจำแบบรอม(ReadOnlyMemoryหรือRom)เป็นหน่วย
ความจำถาวรที่สามารถอ่านได้อย่างเดียวไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ถึงแม้ว่าจะปิด
เครื่องหรือไฟฟ้าดับข้อมูลที่เก็บไว้จะยังคงอยู่ 
              3.2 หน่วยความจำสำรอง ได้แก่ เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก แผ่นดิสก์ 
(Diskett) CD-ROM 
แผ่นดิสก์หรือสเกต เป็นจานแม่เหล็กขนาดเล็ก ชนิดอ่อน จัดเก็บข้อมูลโดยใช้อำนาจ
แม่เหล็ก การใช้งานจะต้องมี Disk Drive เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการขับเคลื่อนแผ่น
ดิสก์ โดยแบ่งตำแหน่งพื้นผิวออกเป็น แทร็คและเซ็คเตอร์ แบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ
                      - แผ่นดิสก์ขนาด8นิ้วปัจจุบันไม่นิยมใช้
                   - แผ่นดิสก์ขนาด5.25นิ้วแบ่งออกเป็นDDสามรถบันทึกข้อมูลได้
ประมาณ360KBและ HDสามารถบันทึกข้อมูลได้1.2MB
                      - แผ่นดิสก์ขนาด3.5นิ้วแบ่งออกเป็นDDสามารถบันทึกข้อมูลได้
ประมาณ720Kและ HD สามารถบันทึกข้อมูลได้ 1.44 MB นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน
          4. หน่วยแสดงผล(Output Unit)ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการ
ประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือใช้เก็บผลลัพธ์เพื่อนำไปใช้ภายหลัง
ได้แก่จอภาพ(Monitor)เป็นอุปกรณ์ส่งออกมากที่สุดเครื่องพิมพ์(Printer)

  ซอฟแวร์(Software) 
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ซอฟแวร์
ซอฟแวร์ (Software)คือคำสั่งหรือชุดคำสั่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบคอม
พิวเตอร์และเป็นส่วนที่ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์กับเครื่องคอมพิวเตอร์(ฮาร์ดแวร์)สามารถ
สื่อสารกันได้ทั้งนี้อาจแบ่งซอฟต์แวร์ตามหน้าที่ของการทำงานได้ดังนี้
          1. โปรแกรมจัดระบบ(System Software)คือชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ควบ
คุมการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลางระหว่างโปรแกรมประยุกต์กับเครื่อง
คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการจัดการทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โปรแกรม
ควบคุมเครื่องระบบปฏิบัติการเช่นDOS,Windows, Os/2, Unix
          2. โปรแกรม์ประยุกต์ (Application Software)คือชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่เขียน
ขึ้นมาเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการได้แก่โปรแกรมสำเร็จรูปต่าง ๆ
               - โปรแกรมจัดระบบฐานข้อมูลเช่น Microsoft Access Oracle
               - โปรแกรมพิมพ์เอกสาร เช่น Microsoft Word
               - โปรแกรมสร้าง Presentation เช่น Microsoft Power Point
               - โปรแกรมช่วยสอน (CAI - Computer Aids Intrruction )
               - โปรแกรมคำนวณ  เช่น  Microsoft  Excel
                          ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ซอฟแวร์
                              รูปโปรแกรมประเภทต่างๆ

                    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ซอฟแวร์
                                                     รูปวินโดว์ต่างๆ

          3. โปรแกรมอรรถประโยชน์(Utility Software)เป็นโปรแกรมที่ใช้เครื่องมืในการช่วยให้
การใช้งานคอมพิวเตอร์มีความคล่องตัวขึ้น และสามารถแก้ปัญหาอันเกิดจากการใช้งานได้ เช่น
                - โปรแกรมกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ เช่น Mcafee,Scan,NortonAnitivirus
                - โปรแกรมที่ใช้บีบอัดข้อมูลให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้สามารถคัดลอกไปใช้ได้
สะดวก เช่น Winzip เป็นต้น
          4. โปรแกรมแปลงภาษา(Language Translater)ใช้ในการสร้างโปรแกรมประ
ยุกต์เพื่อนำไปใช้งานด้านต่างๆโดยการเขียนชุดคำสั่งเพื่อควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำ
งานและใช้โปรแกรมแปลงภาษาดังกล่าวทำหน้าที่แปลงชุดคำสั่งที่สร้างขึ้น
(HighLevelLanguage)ให้ไปเป็นคำสั่งที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจและปฏิบัติตามได้
(LowLevel Language)
         โปรแกรมแปลงภาษาโดยทั่วไปมี 2 ประเภท คือ
         4.1 คอมไพเลอร์ (Compiler) โปรแกรมประเภทนี้จะทำหน้าที่แปลงชุดคำสั่งที่
สร้างขึ้นทั้งหมด (ตั้งแต่คำสั่งแรกจนถึงคำสั่งสุดท้าย) ในคราวเดียวกัน เช่น ภาษา Pascal, C, C
         4.2 อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) โปรแกรมประเภทนี้จะทำหน้าที่แปลง
ชุดคำสั่งแล้วแสดงผลลัพธ์ออกมา ทำให้ง่ายต่อการแก้ไขคำสั่งที่ผิดพลาดได้ทันที
เช่นภาษาBasic
พีเพิลแวร์(People Ware) 
พีเพิลแวร์(People Ware)หรือผู้ใช้ระบบในระบบคอมพิวเตอร์ผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นส่วนหนึ่ง
ที่จะก่อเกิดผลลัพธ์จากการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยเหตุที่ว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างชุด
คำสั่งหรือโปรแกรมขึ้นมาเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องนั่นเองในที่นี้จะขอกล่าวถึงผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในระดับต่างๆ ดังนี้
          1. ผู้บริหาร(Manager) ทำหน้าที่กำกับดูแลวางแนวนโยบายในส่วนที่เกี่ยวกับ
คอมพิวเตอร์ เพื่อให้องค์กรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
           2. นักวิเคราะห์และนักออกแบบระบบ(System Analysis & Deign)ทำหน้า
ที่วางแผนและออกแบบระบบงาน เพื่อนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน
           3. นักเขียนโปรแกรม(Programmer)ทำหน้าที่เขียน/สร้างชุดคำสั่ง
เพื่อควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
           4. ผู้ปฏิบัติการ(Operator)ทำหน้าที่ควบคุมเครื่องเตรียมข้อมูลและป้อน
ข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์